'NLD' คว้าชัยเลือกตั้งเมียนมา จุดเริ่มต้นความท้าทายใหม่ของ 'ซูจี'

  • 11 May 2020
  • 1342
หางาน,สมัครงาน,งาน,'NLD' คว้าชัยเลือกตั้งเมียนมา จุดเริ่มต้นความท้าทายใหม่ของ 'ซูจี'

ออง ซาน ซูจี (ภาพ: AP)

ชัยชนะของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางออง ซาน ซูจี ในศึกเลือกตั้งทั่วไปครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศเมียนมาเมื่อ 8 พ.ย. ไม่เป็นที่ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว เมื่อผลการนับคะแนนเบื้องต้นของคณะกรรมการเลือกตั้งที่ทยอยเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่า พรรคของนางซูจี มีคะแนนทิ้งห่างพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (ยูเอสดีพี) ของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ชนิดไม่เห็นฝุ่น และมีทีท่าว่าเอ็นแอลดีจะได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภาอีกด้วย

แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความท้าทายใหม่ๆ ที่กำลังรอนางซูจี ซึ่งกำลังเปลี่ยนเวทีจากฝ่ายค้านที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมามานานกว่า 30 ปี ไปเป็นฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น และยังมีอุปสรรคอีกมากมายที่เธอต้องเผชิญ ไม่ว่าจะในเรื่องอำนาจการปกครอง, แก้ปัญหาความขัดแย้งและสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเทศ

 

ชาวเมียนมานับหมื่นคนฟังคำปราศรัยของนางอองซาน ซูจี 1 สัปดาห์ก่อนเริ่มการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ (ภาพ: AFP)

อุปสรรคของซูจี

อุปสรรคแรกที่เห็นชัดที่สุดคือ ถึงพรรคเอ็นแอลดีจะชนะเลือกตั้ง แต่นางซูจีก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีด้วยตนเองได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญเมียนมาที่ร่างโดยรัฐบาลทหารเมื่อปี ค.ศ. 2008 ห้ามไม่ให้ใครก็ตามที่มีสมาชิกครอบครัวเป็นชาวต่างชาติเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งสามีที่เสียชีวิตไปแล้วของนางซูจี เป็นชาวอังกฤษ ขณะที่ลูกชายทั้ง 2 คนของเธอก็ถือหนังสือเดินทางสัญชาติอังกฤษเช่นกัน

ขณะที่การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้นางซูจีดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีก็เป็นไปได้ยาก เพราะรัฐธรรมนูญของกองทัพเมียนมาได้สงวนที่นั่งในรัฐสภาที่มีทั้งหมด 664 ที่นั่งให้ฝ่ายทหารถึง 25% และกำหนดด้วยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องได้เสียงเห็นชอบจากสภา 75% เป็นอย่างน้อย

เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาที่นางซูจีกังวล เมื่อเธอออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่า หากพรรคเอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้ง เธอจะเป็นผู้ที่อยู่เหนือประธานาธิบดี และเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องทั้งหมดในฐานะผู้นำพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ส่วนผู้จะมารับตำแหน่งประธานาธิบดีจะไม่ใช่ผู้มีอำนาจ แต่ต้องเป็นผู้ที่พร้อมปฏิบัติตามมติพรรค อย่างไรก็ตาม การเป็นผู้นำเงาก็ขัดต่อรัฐธรรมนูญเมียนมา และเชื่อว่าจะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากพรรคยูเอสดีพี

 

 

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกว่า 80% ของทั้งหมด แห่ออกไปลงคะแนนเสียง (ภาพ: AFP)

กองทัพยังคงมีอิทธิพล

ผลการเลือกตั้งที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าประชาชนชาวเมียนมาไม่ต้องการถูกปกครองโดยทหารอีกต่อไป แต่ทว่ารัฐธรรมนูญ ค.ศ. 2008 ซึ่งเป็นมรดกของรัฐบาลทหารยังทำให้กองทัพมีอำนาจอยู่ในเมือง ด้วยการกำหนดให้รัฐมนตรีของกระทรวงสำคัญอย่าง กระทรวงกลาโหม, กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงต่างประเทศ ต้องเป็นเจ้าหน้าที่จากกองทัพเท่านั้น

ขณะที่การปฏิรูปต่างๆ เช่น การยกเลิกแก้ไขกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน ก็ไม่อาจทำได้โดยทันที เพราะข้อกำหนดอันเข้มงวดในรัฐธรรมนูญ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาและการเจรจาระหว่างรัฐบาลประชาชนและกองทัพในการแก้ไข เพื่อความปรองดองในฝ่ายการเมืองของเมียนมา

 

 

เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีเมียนมา หัวหน้าพรรคยูเอสดีพี พ่ายยับในการเลือกตั้งเมื่อ 8 พ.ย. (ภาพ: AP)

ปัญหามากมายที่ยังรอการแก้ไข

เมียนมาถูกยกให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปเอเชีย ทั้งยังมีปัญหาความขัดแย้งกับกลุ่มชาติพันธ์ุและความตึงเครียดทางศาสนา และปัญหาด้านมนุษยธรรมที่ยังรอให้รัฐบาลใหม่ของเมียนมาแก้ไข ได้แก่

ปัญหาคนไร้สัญชาติ หรือปัญหาชาวมุสลิมโรฮีนจา ว่า 1 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในเมียนมาซึ่งประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธมาหลายชั่วอายุคน แต่พวกเขากลับถูกมองเป็นเพียงผู้อพยพผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างบังกลาเทศ และไม่ได้รับการยอมรับในฐานะพลเมืองของเมียนมา แทบไม่ได้รับสิทธิพื้นฐานต่างๆ ทั้งสาธารณสุขและการศึกษา และในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พวกเขาก็ไม่ได้ถูกระบุให้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งที่เมื่อปี 2010 พวกเขายังสามารถไปใช้เสียงได้

ปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หากเป็นชาวมุสลิมโรฮีนจา ซึ่งตั้งใจจะหลบหนีความรุนแรงจากการกีดกันในเมียนมาไปยังต่างประเทศ กระทั่งตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ นอกจากนี้เมียนมาจำนวนหนึ่งที่ต้องการหลบหนีความยากจนก็ตกเป็นเหยื่อผู้ค้ามนุษย์และถูกส่งไปใช้แรงงานทาสอยู่บนเรือประมงในประเทศต่างๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ชาวโรฮีนจามากมายตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ (ภาพ: AFP)

ปัญหาผู้พลัดถิ่น ปัจจุบันในเมียนมามีชาวโรฮีนจาประมาณ 140,000 คน อาศัยอยู่ตามค่ายผู้พลัดถิ่นต่างๆ ในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของเมียนมา หลังจากบ้านเรือนของพวกเขาถูกทำลายในเหตุความรุนแรงระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมเมื่อปี 2012 ซึ่งทำให้มีชาวโรฮีนจาเสียชีวิตจำนวนมาก ขณะเดียวกัน การต่อสู้ระหว่างกองทัพรัฐบาลกับกลุ่มติดอาวุธชาติพันธ์ุตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนกว่า 10,000 คนต้องไปอาศัยในค่ายผู้พลัดถิ่นในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉาน

ปัญหาผู้ลี้ภัย นอกจากผู้พลัดถิ่นในประเทศแล้ว ยังมีชาวเมียนมาที่หลบหนีการต่อสู้ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย และตอนนี้ก็มีผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดนทางเหนือของไทยกว่า 120,000 คน ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันคนเหล่านี้กลับมาตุภูมิ แต่สถานการณ์ด้านความมั่นคงทำให้กระบวนการเป็นไปด้วยความล่าช้า

ปัญหาพิพาทกับกลุ่มชาติพันธ์ุ เมียนมาถูกปัญหากับกลุ่มชาติพันธ์ุรุมเร้านับตั้งแต่แยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1948 และจนถึงทุกวันนี้ยังมีนักรบติดอาวุธกลุ่มชาติพันธ์ุที่ยังเคลื่อนไหวอยู่อีก 12 กลุ่ม ซึ่งทางรัฐบาลของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับ 8 กลุ่มในจำนวนนี้ไปแล้วเมื่อ 15 ต.ค. แต่กลุ่มที่แข็งแกร่งยังไม่ยอมลงนาม ขณะที่รัฐบาลก็ปฏิเสธไม่ให้พวกเขาส่งผู้แทนร่วมเจรจา การมาของนางซูจีอาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายได้

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การคอร์รัปชันเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกในเมียนมาซึ่งปิดประเทศและถูกปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหารมานานหลายทศวรรษ และการหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของเมียนมาก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ปัญหาพิพาทกับกลุ่มชาติพันธ์ุรุนแรงขึ้น

 

นักรบปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง หนึ่งในกลุ่มติดอาวุธที่ยังคงเคลื่อนไหวในเมียนมา (ภาพ: AP)

จะเห็นได้ว่า นางซูจีต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย ทั้งยังมีแรงกดดันจากความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงในประเทศ รัฐบาลใหม่ของนักสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนหญิงผู้นี้จะสามารถตอบโจทย์ของประชาชนได้มากน้อยเพียงไร ก็ต้องติดตามกันต่อไป

 

JOBBKK.COM © Copyright All Right Reserved

Jobbkk has only one website. In no case, we have an affiliate, agent or appointee. Please do not rely on any other website, email, telephone, SMS or other contacting channel. If it is a case, we will prosecute under a lawsuit in the upmost as allowed. DBD

Top