แสงสุดท้ายที่ทุ่งบัวตอง...สู่แสงแรกบนภูชี้เพ้อ

  • 11 May 2020
  • 1938
หางาน,สมัครงาน,งาน,แสงสุดท้ายที่ทุ่งบัวตอง...สู่แสงแรกบนภูชี้เพ้อ

ค่ะ ณ จุดๆ นี้ดิฉันได้พิชิตหนึ่งพันกว่าโค้งสู่ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ จ. แม่ฮ่องสอน เป็นครั้งแรกในชีวิต บอกได้คำเดียวว่า “จะตายแล้วค่ะ”

พี่เอกโชเฟอร์จอมพลังของทีมหนีกรุงยังคงหมุนพวงมาลัยไปมาด้วยใบหน้าสดชื่นระรื่นใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดิฉันมองตาพี่ชายผ่านกระจกหลังด้วยสายตาวิงวอนร้องขอชีวิต

“จอดเถอะพี่”

พี่ชายหัวเราะเยาะน้องสาวแบบไม่เหลือเยื่อใย ก่อนจะเทียบรถเข้าข้างทางอย่างนุ่มนวล ชนัตพล หวังเพิ่ม หรือพี่กอล์ฟ หรือพี่เฉื่อย ลืมตาตื่นมาเหมือนโดนเสียบปลั๊ก (เพราะตอนหลับพี่แกก็หลับง่ายเหมือนถอดปลั๊ก) หยิบกล้องแล้วเปิดประตูลงไปถ่ายรูปราวกับเป็นระบบสั่งการอัตโนมัติ เช่นเดียวกับพี่เอก พี่ชายสายตลก กับน้องจ๋อม น้องสาวฝึกงานสายเส้นตื้น ซึ่งทั้งสองได้จับคู่กันเล่นมุกและหัวเราะมาตลอดทาง จนเจอโค้งแม่ฮ่องสอนจึงได้สลบคอตกไปตามกัน

 

ส่วนดิฉันในเวลานี้ วิ่งลงจากรถ ล้างหน้า ดมยา สะบัดแขน บิดตัวไปมา นาทีนี้ให้ตีลังกาก็ทำแล้วค่ะ ร่างกายปั่นป่วนมากเหมือนโดนพายุทอร์นาโดถล่ม พยายามยืนนิ่งๆ ตั้งสติ อยากร้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคน ลองหันไปมองทีมงานหนีกรุงทั้งสี่คน ไม่มีใครสนใจดิฉันเลยค่ะ ทุกคนต่างมุ่งมั่นส่องเลนส์ไปทางทิศตะวันตกเพื่อเก็บบรรยากาศของแสงสุดท้าย ดิฉันถอนหายใจ...หันมองพระอาทิตย์ตกดินในสถานที่แปลกหน้าเป็นครั้งแรก

โอ้โห...
พระอาทิตย์สีส้มระบายสีลงบนท้องฟ้าสีชมพู ม่วง น้ำเงิน สาดแสงส้มเข้มลงบนเทือกเขาที่ซ้อนทับกันหลายเลเยอร์ ภูเขาที่อยู่ด้านหน้าสุดมีจุดเล็กๆ สีเหลืองของดอกบัวตองน่ารักๆ อยู่ทั่ว อืม...ฟื้นคืนชีพแล้วค่ะ

พี่เฉื่อยเดินมาหาดิฉันด้วยความเร็วหนึ่งกิโลเมตรต่อสองวัน (คือ ช้าจริงๆ ค่ะคุณพี่) ก่อนจะคลี่ยิ้มเฉื่อยๆ ไปทั่วใบหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงง่วงๆ ว่า

“คอลัมน์หลงรักประเทศไทยหลังจากนี้...พี่ยกให้แกนะ พี่อยากถ่ายรูปอย่างเดียวให้มันดีที่สุดไปเลย”

พูดจบ ชายหนุ่มก็เดินจากไปโดยไม่ได้ไถ่ถามความรู้สึกของหญิงสาว ไม่แม้จะถามความสมัครใจหรือคิดถึงจิตใจของผู้อ่านที่ต้องมาอ่านตัวอักษรประหลาดๆ...ไม่มีเลยจริงๆ

 

ท้องฟ้าอับแสง สมองสติดิฉันก็มืดมนเช่นกัน...ตอนนี้เครียดมากค่ะ คอลัมน์หลงรักประเทศไทยนี่มัน คืออะไร!


พี่เฉื่อยถ่ายภาพ น้องดำรายงาน

สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ ‘มะขวัญ’ ชื่อนี้ไม่มีความหมาย มารับหน้าที่หลงรักประเทศไทยผ่านตัวอักษรแทนคุณชนัตพล หวังเพิ่ม หรือพี่เฉื่อย ช่างภาพมือโปรของหนีกรุง ขอออกตัวไว้ตั้งแต่บัดนี้ว่าไม่ใช่คนโลกสวยหรือโลกมืด เป็นคนมองโลกแบบที่มันเป็นนี่แหละค่ะ แต่ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ดิฉันรับหน้าที่เขียนคอลัมน์นี้ได้คงเป็นความรักและเคารพในธรรมชาติอย่างสุดซึ้ง ซึ้งถึงขนาดที่ชอบกอดต้นไม้เป็นงานอดิเรก แต่ดิฉันไม่ได้บ้านะคะ วางใจได้ ฝากตัวอักษรเหล่านี้ด้วยค่าาาาา

โอเค...พร้อมแล้ว ขอต้อนรับสู่บันทึกการเดินทางทั่วไทยครั้งแรก...ที่แม่ฮ่องสอนจ้าาาาา

 

ที่งานรื่นเริงใกล้บ้านคุณ

แฟนหนีกรุงหลายคนอาจสงสัยว่า เวลาชาวหนีกรุงออกทริปแต่ละคราว เรื่องราวเริ่มต้นยังไง

เริ่มจากการประชุมกันในหมู่กอง บก. เพื่อหาธีมหลักของแต่ละเล่ม เช่น ความรัก/แสง/ลอย หลังจากนั้นก็เฟ้นหาสถานที่เด็ดดวงพวงสร้อย แล้วรอทางคุณ บก. นกเขา ศิลปินรูปหล่อเคาะสถานที่ เสร็จสรรพก็แบกกระเป๋าออกเดินทางเลย

คร่าวๆ แค่นี้ ส่วนจะแวะที่ไหน กินอะไร หรือพักยังไง...ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตาล้วนๆ

ค่ำคืนนี้ในตัวอำเภอขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ก็เช่นกัน เราทั้งห้าคนรู้แค่ว่าพรุ่งนี้เช้าต้องไปทุ่งดอกบัวตอง แต่เราไม่รู้ว่าคืนนี้จะหลับจะนอนกันที่ไหน จึงต้องเข้าออกๆ โรงแรมเกสต์เฮาส์ รีสอร์ตเป็นว่าเล่น (เพราะช่วงนี้เป็นเทศกาลทุ่งดอกบัวบาน คนเยอะเหลือเกิน) ประมาณสองทุ่มกว่ากับจุดหมายที่มืดมน พี่อุหันไปเห็นแสงไฟสีๆ ชิงช้าสวรรค์ และร้านรวงมากมาย

“เทศกาลงานรื่นเริงทุ่งดอกบัวตองบาน แวะๆๆ”

เท่านั้นละค่ะ ความกังวลเรื่องที่นอนก็หายไปจนหมดสิ้น ทุกคนในรถขณะนี้เหมือนเด็กห้าขวบ ตื่นเต้นกับแสง สี เสียงยามค่ำคืนมากมากมากมาก

 

น้องจ๋อม : พี่ๆ นั่นๆ ไส้กรอกสีแดงโง่ๆ เวลามีงานวัดแถวบ้าน หนูต้องซื้อทุกทีเลย
พี่เฉื่อย : โห...เวลาพี่ไปงานวัดต้องระบายสีปูนปลาสเตอร์ สมัยพี่ต้องหล่อปูนเองด้วย
พี่อุ : พวกคุณยังอ่อนครับ ผมนี่ ต้องบ้านผีสิง เมื่อก่อนกลัวมาก ขาสั่น นอนไม่หลับเลย

ค่ะทุกคนแสดงความชราและความเป็นเด็กต่างจังหวัดออกมาได้ชัดเจนทีเดียวค่ะ ระหว่างที่ทุกคนกำลังรำลึกอดีตอันหอมหวาน ดิฉันได้ยินเสียงหมาหอนผสมกับเพลงลูกทุ่งดังมาจากลำโพงตัวใหญ่...ตรงท้ายงาน มีบ้านผีสิง

ล้วงเงิน 20 บาท เดินฉับๆ เข้าไปด้วยความมั่นใจราวนางแบบบนแคตวอล์ก บ้านผีสิงแค่นี้...ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก

 

“เห้ยมะขวัญ เจ๋งว่ะ เข้าบ้านผีสิงคนเดียวเลยเว้ย” พี่เฉื่อยตะโกนมาแต่ไกล

มันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ เพราะผีย่อมไม่กลัวผีด้วยกัน (ฮ่าๆๆ) เดินผ่านม่านดำ เป็นทางทึมๆ ทอดยาว มีผีกระสือพลาสติกห้อยลงมาเป็นสิ่งกีดขวางหนึ่งตัว (น่ากลัวตรงไหน...พูดซิ) ดิฉันตบไส้กระสือเล่นอย่างผู้มีชัย....แล้วมัน....ก็มาโดยที่เราไม่รู้ตัว

“แฮร่ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

อีผีปลอม อีคนปลอมเป็นผีมันวิ่งไล่ค่ะ ด้วยสัญชาตญาณก็ต้องกรี๊ดและวิ่งหนีสิคะ จะรออะไรอยู่ ดิฉันวิ่งหนีออกมาด้วยความเร็วแสง ถึงหน้าบ้านผีสิงเห็นพี่เฉื่อยกำลังล้วงกล้องออกมาเพื่อถ่ายรูป

“เห้ย อะไรวะ ยังไม่ถึงห้าวิเลย ไอ้มะห้าวิ”

ได้มาแล้วค่ะ...ฉายาหลังจากนี้ในชีวิตหนีกรุง...มะห้าวิ

แสงสุดท้ายที่ทุ่งบัวตอง

ตีสี่ เราตื่นด้วยความสดชื่นสดใส ยิ้มรับวันใหม่ ยิ้มให้แก่กัน

ประโยคข้างบนนี่ไม่มีความจริงเลยค่ะ เรานัดกันตีสี่ แต่ตื่นมาตอนตีห้า ล้างหน้า แปรงฟัน ฉกกระเป๋ากล้องแล้ววิ่งขึ้นรถทันที พี่เอกยังคงรักษาฟอร์มการขับขี่ได้เป็นอย่างดี แม้เส้นทางจะฉวัดเฉวียน แต่พี่เอกก็พาเรามาถึงทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ อย่างง่ายดายตอนใกล้หกโมงเช้า

 

 

ดิฉันลงจากรถ...เบิกสายตามองเจ้าดอกสีเหลืองที่กองพะเนินทุ่งสุดลูกหูลูกตาในเวลานี้...โอ้แม่เจ้า...
ทุ่งดอกบัวตองในแสงสลัว...ยังสวยขนาดนี้ ไม่อยากคิดว่าตอนพระอาทิตย์ขึ้นจะสวยขนาดไหน

พี่เฉื่อยไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเดินขึ้นบันไดไปตามเนินทุ่งดอกบัวตอง หันซ้ายหันขวาหามุมที่ดีที่สุด ก่อนจะหายตัวไปในป่าสนตรงด้านบนสุดของเนิน ตั้งกล้องและเฝ้ารอความงดงามที่กำลังจะมาเยือนอย่างเงียบๆ

ดิฉัน...เดินขึ้นมายังจุดสูงสุดของทุ่งดอกบัวตองและมองกลับไปยังทิวทุ่งเหลืองอร่ามด้านล่าง สลับมองทิวเทือกเขาสีน้ำเงินเขียว ฉากหลัง...ทั้งสองทิวกำลังเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ตามกำลังแสงของพระอาทิตย์ ค่อยๆ เหลือง ค่อยๆ เขียว...ค่อยๆ แสดงความสวยที่สุดที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้ออกมา

นี่กำลังยืนอยู่ในประเทศไทยจริงๆ เหรอวะ...สวยจังโว้ยยยยยยยยยยยยยยย !!!

 

อยากตะโกนให้ลั่นทุ่ง แต่ก็สงสารนักท่องเที่ยวคนอื่น เลยได้แต่ยืนอาบแสงอาทิตย์ ดื่มความงามของภูเขา ดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวตองอย่างสงบ อิ่มหนำสำราญใจมาก จนได้เวลาที่กระเพาะอยากอิ่มบ้าง เลยเดินทอดน่องลงมายังร้านค้าด้านล่าง พ่อค้าแม่ขายกำลังเปิดร้านอย่างขะมักเขม้น

บนเตาถ่านหน้าร้าน...มันเผากำลังส่งกลิ่นหอมเคล้าอากาศหนาว...มาอยู่ในท้องพี่เถิดน้องมันจ๋า...

“กินข้าวกันอีหนู”

พี่สาวแม่ค้าท่าทางใจดีกับผองเพื่อนสามสี่คนกำลังตั้งโต๊ะ กลิ่นแกงหอมฉุยลอยมากับควันขาวๆ ไม่พูดพร่ำทำเพลง พี่สาวตักข้าวให้เสร็จสรรพ...เลยต้องร่วมวงตามประสาคนมีมารยาท (ไม่ได้หิวมากหรอก แค่น้ำลายไหลเอง)

พี่สาว 1 : ที่นี่มีมานานแล้วน้อง ตั้งแต่สมัยก่อน ก่อนไหนไม่รู้ รู้แต่นานมากแล้ว เขาว่า พวกมิชชันนารีเอาเมล็ดดอกบัวตองมาโปรยไว้
พี่สาว 2 : ไม่ใช่ เขาบอกว่า ผู้เฒ่าบ้านเรานี่แหละเอามาโปรย เอามาจากตะวันตก
พี่สาว 1 : ตะวันตกไหน กาญจนบุรีเหรอ
พี่สาว 2 : ไม่ใช่ ตะวันตกยุโรปสิโว้ย
พี่สาว 3 : เออๆ ตำนานเริ่มเยอะแล้ว กินๆ น้อง นี่เขาเรียกว่าแกงโต่เจ ใช้ถั่วปีทำ ปีหนึ่งได้กินครั้งเดียว กินๆ

สดุดีทุกตำนานค่ะ...ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใคร กราบขอบคุณมากที่ทิ้งสิ่งที่งดงามที่สุดไว้เพื่อทุกหัวใจที่มาเยือนที่นี่

แกงโต่เจนี่กลมกล่อมดีจริงๆ พี่ๆ เล่าว่า เมื่อหมดฤดูดอกบัวตองบานชาวบ้านจะช่วยกันตัดต้นบัวตองทั้งหมดแล้วปล่อยให้มันขึ้นใหม่...บ่มเพาะให้ผลิบานอีกครั้งเมื่อถึงฤดูกาล...ทุกคนในที่นั้นยืนยันว่ามันสวยขึ้นทุกปี

วันนี้...ทีมงานหนีกรุงเลยสดุดีความงามที่ต้องใช้เวลาของทุ่งดอกบัวตอง ด้วยการอยู่ที่นี่จนพระอาทิตย์ตก พวกเราเปลี่ยนทุ่งบัวตองเป็นออฟฟิศบ้าง ห้องอาหารบ้าง ห้องนอนบ้าง สนามเด็กเล่นบ้าง แล้วแต่ความสบายใจแต่ละคน

ซึมซับทุกความรู้สึกดีๆ...จนแสงสุดท้ายของวันลาจากไป


สู่แสงแรกบนภูชี้เพ้อ

ตีสี่ เราตื่นด้วยความจำใจ...เพราะต้องไปเก็บแสงแรกของวันใหม่ให้ได้บนภูชี้เพ้อ ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรในการเดินทาง

ตอนแรกดิฉันกะว่าจะงีบเอาแรงบนรถ แต่ถนนขึ้นภูชี้เพ้อนี่หลุมๆ บ่อๆ ราวกับรถขับบนผิวดวงจันทร์ รถกระเด้งไปกระดอนมาจนพี่เฉื่อยที่หลับง่ายยังหลับไม่ลง...ท้องไส้ของพวกเราปั่นป่วนสักพักก็ถึงตีนภูชี้เพ้อ...มีขั้นบันไดทอดยาวไปสู่ด้านบน...บันไดยาวมาก...ยาวจริง ๆ...ยาวเหลือเกิน

บอกได้เลยค่ะว่าหนึ่งร้อยขั้นแรก ดิฉันและน้องจ๋อมวิ่งขึ้นไปด้วยความกระฉับกระเฉง ต้องแสดงให้คนชราอย่างพี่เฉื่อย พี่เอก พี่อุเห็นสักหน่อยว่าเรายังวัยรุ่น แต่พอผ่านขั้นที่หนึ่งร้อยไปเท่านั้น...ทั้งห้าคน...หอบแบบจะตายเลยค่ะ

บันไดภูชี้เพ้อนี่ยิ่งกว่าหนังหักมุม หลอกเราไปมุมภูเขาด้านหนึ่ง เหมือนจะถึงแล้ว...อ้าว ยังมีบันไดต่อไปที่มุมอีกด้านหนึ่ง เรียกว่าเหนือบันไดยังมีบันได ช่วงสุดท้ายก่อนถึงยอดภูเริ่มได้ยินอะไรประหลาดๆ จากชาวหนีกรุง

“ทำไมไม่สร้างลิฟต์ให้กู !!!”
“หนูจะตายแล้วค่ะ ฝากบอกพ่อแม่หนูด้วยว่าหนูรักพ่อกับแม่มาก”
“ขาจะหักแล้วคร้าบบบบบบบ”

ค่ะ...ทุกคนเข้าใจแล้วยังคะว่าทำไมที่นี่ถึงชื่อ ‘ภูชี้เพ้อ’...ใครที่มาก็เพ้อเจ้อกันแบบนี้ทุกคนแหละค่ะ

พอขึ้นมาถึงเท่านั้นแหละ...แม่เจ้าโว้ย !!! นี่มันนิกโกะ ประเทศญี่ปุ่นชัดๆ เลย ทำไมนางสวยเช่นนี้ ภูเขาหลายลูกซ้อนกันสุดลูกหูลูกตาอยู่หลังม่านหมอกสีขาว อากาศเย็นชื่นใจ...แม้พระอาทิตย์วันนี้จะตื่นสายไปหน่อย...แต่ก็ใจดีส่งแสงรางๆ มาให้เราเห็นความสวยด้านล่าง

 

ชอบจริงๆ...ชอบมาก

พี่เฉื่อยไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินดุ่มๆ ไปหามุมที่สวยที่สุด เดินๆ หยุดๆ มองๆ อยู่เป็นครึ่งชั่วโมง ก่อนจะปักขาตั้งกล้องลงตรงมุมที่ตั้งใจเก็บมาเพื่อชาวหนีกรุงโดยเฉพาะ...แล้วพี่แกก็ยืนเฝ้าแสงอาทิตย์อยู่อย่างนั้น...ยืนอยู่นานจริงๆ

สงสัยว่าอะไรทำให้คนๆ หนึ่ง อดทนเพื่อภาพดีๆ ได้ขนาดนั้น

พี่เฉื่อยไม่ใช่คนกดชัตเตอร์หลายครั้ง แต่การกดแต่ละครั้ง คือ สิ่งที่คิดมาอย่างดีแล้ว มองรูปพี่แกแต่ละเฟรมก็ถึงบางอ้อว่า การเติบโตอย่างงดงามของคนทุกคนบนโลก...มันต้องใช้เวลาเพื่อสั่งสมประสบการณ์จริงๆ

ระหว่างยืนมองพี่เฉื่อย พระสงฆ์สองรูปเดินมาถึงจุดชมวิวอย่างสงบ...แต่หัวใจฉันหล่นวูบ

...ทำไมต้องมาเจอพระสงฆ์บนนี้ด้วย ?

หลายปีที่ผ่านมา พ่อของดิฉันบอกทุกคนในครอบครัวเสมอว่า ท่านอยากเดินทางธรรมเพราะเหนื่อยมาทั้งชีวิต เมล็ดความฝันนี้ถูกปลูกในใจพ่อมานานแสนนานและเติบใหญ่ขึ้นในวันที่ฉันรับปริญญา หลังจากวันนั้น...พ่อตัดสินใจเดินตามความฝันด้วยการบวชเป็นพระภิกษุและออกธุดงค์ในป่า เวลานั้นไม่มีใครในครอบครัวไม่ยินดีกับความสุขของพ่อ...และไม่มีใครไม่เจ็บปวด

ผ่านมาสองปี...ทุกครั้งที่ฉันต้องนั่งรถผ่านภูเขาทุกลูก ผ่านป่าทุกป่าในประเทศไทย ฉันมักมีความหวังเล็กๆ ในใจว่าพ่ออาจจะอยู่แถวนี้ แม้วันนี้พ่อจะย้ายกลับมาอยู่ที่วัดป่าในจังหวัดใกล้ๆ บ้าน...แต่มันไม่เคยใกล้ในความรู้สึกฉันสักที

 

 

ฉันเดินหลบผู้คนมาอีกด้านหนึ่งของภูชี้เพ้อ...รู้สึกหนาวไปหมดแล้ว เลยกอดต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ เนื้อแข็งๆ เย็นๆ ของมันแผ่ความอบอุ่นอย่างประหลาด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสุดท้ายของพ่อกระซิบในความทรงจำ

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ลูกต้องมีสติและอดทนมากๆ นะลูก”

แสงแรกของวันใหม่มาแล้ว...การเดินทางครั้งใหม่ของชีวิตกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
และแน่นอนนะพ่อ...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ลูกสาวคนนี้จะอดทนมากๆ...ไม่ต้องห่วงเลย

 

Text: มะขวัญ Photos: ชนัตพล หวังเพิ่ม

ที่มา - หนีกรุงไปปรุงฝัน
www.facebook.com/neekrungmagazine

JOBBKK.COM © Copyright All Right Reserved

Jobbkk has only one website. In no case, we have an affiliate, agent or appointee. Please do not rely on any other website, email, telephone, SMS or other contacting channel. If it is a case, we will prosecute under a lawsuit in the upmost as allowed. DBD

Top